จากตารางค่าบริการของ Fastwork ตามลิงค์ หรือตามรูป
มูลค่าของงาน | อัตราค่าบริการ |
---|---|
0-10000 | 17% |
10000-50000 | 12% |
50000+ | 7% |
อัพเดทล่าสุด 20JAN2023
ผมสังเกตว่าหากเราเปิดออร์เดอร์ในราคาที่สูงจะยิ่งมีการเสียค่าบริการที่น้อยลง ซึ่ง จึงได้ลองทำการจำลองว่าระหว่างเปิดออร์เดอร์หนึ่งออร์เดอร์ในราคาสูงกับเปิดออร์เดอร์หลายออร์เดอร์ในราคาต่ำ โดยที่ยอดรวมของทั้งสองกรณีเท่ากันแล้ว และหาข้อสรุปว่ามีส่วนต่างกันมากน้อยเพียงใด ระหว่างสองกรณีนี้
ดำเนินการเมื่อวันที่ 20JAN2023
จากกราฟจะเห็นได้ว่า ช่วง 0-10000 บาทแรก สัดส่วนค่าบริการต่อมูลค่าของงานที่ตั้งอยู่ร้อยละ 17 ตามตารางค่าบริการ ส่วนที่สอง ช่วง 10000-50000 บาท สัดส่วนของค่าบริการจะเป็นในรูปแบบกราฟที่เรียกว่า Exponential decay จนสุดอยู่ที่ 13% ส่วนที่สาม ช่วง 50000 บาท เป็นต้นไปก็อยู่ในรูปแบบของ Exponential decay เช่นกัน และเมื่อรันไปจนถึงราคา 100,000 จะสุดอยู่ที่ 10%
แล้วจะรันตัวเลขต่อไปเรื่อยๆ สัดส่วนจะไปสุดอยู่ที่ ~7.003% นั้นหมายความว่าเราจะเสียค่าบริการได้น้อยที่สุดคือประมาณ 7% ของมูลค่างาน แต่นั้นก็ต่อเมื่อเราตั้งราคามูลค่างานสูงมากๆเป็นหลักล้านเลย
ซึ่งสำหรับงานฟรีแลนซ์แล้ว คงเป็นไปได้ยากที่มูลค่างานจะสูงขนาดนั้น หากเป็นเพียงแค่บุคคล ไม่ใช่บริษัทรับงานแต่อย่างใด ดังนั้น ตัวเลขสัดส่วนค่าบริการต่อมูลค่าของงาน ที่พอจะเป็นไปได้สำหรับฟรีแลนซ์บุคคล จะอยู่ในช่วง 10-17%
จากการวิเคราะห์ตัวอย่างการตั้งราคางานใน Fastwork จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะตั้งราคาต่ำกว่า 10000 บาทเป็นจำนวนมาก มีส่วนน้อยที่ตั้งราคามากกว่า 10000 บาท และหากดูเป็นหมวดหมู่จะยิ่งเห็นว่า บางหมวดหมู่ ไม่มีการประกาศงานที่ราคาสูงมากกว่า 20000 บาทเลย
หรือ
ตัวเลขในตารางจะเป็น อัตราร้อยละของส่วนต่างกับยอดรวมเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกรณี หนึ่งออร์เดอร์ กับ หลายออร์เดอร์ ในยอดรวมที่เท่ากัน
ตัวอย่างเช่น ระหว่าง หนึ่งงาน ในราคา 18,000 บาท กับ สามงาน ในราคางานละ 6,000 บาท
- ออร์เดอร์งานราคา 18k บาท จะถูกหักค่าบริการให้กับ Fastwork ในจำนวนเงิน : 2,660 บาท
- ออร์เดอร์งานราคา 6k บาท จะถูกหักค่าบริการให้กับ Fastwork ในจำนวนเงิน : 1,020 บาท
- หากเป็น ออร์เดอร์งานราคา 6k จำนวนสามงาน จะทำให้ถูกหักค่าบริการรวมถึง : 3,060 บาท
- ส่วนต่างระหว่างการเปิด หนึ่งออร์เดอร์ กับ สามออร์เดอร์ คือ 3,060 - 2,660 = 400 บาท
- เท่ากับว่าการเปิดหนึ่งออร์เดอร์ประหยัดค่าบริการได้ 400 บาท ซึ่งคิดเป็น ~2.22% ของยอดรวม (18,000 บาท)
หากวิเคราะห์จากตารางราคาขั้นละ 1000 บาท จะเห็นได้ชัดว่ามีช่วงที่มีการประหยัดค่าบริการได้มากกว่า 7% ในช่วงราคา 10k บาท และมากกว่า 12 ออร์เดอร์ขึ้นไป หรือตรงบริเวณที่ตัวเลขใช้สีดำแทนสีขาวนั้นเอง
หรือให้เข้าใจอีกแบบคือ ระหว่างเปิดออร์เดอร์ในราคา 120,000 บาท หนึ่งออร์เดอร์ vs กับออร์เดอร์ละ 10,000 บาท จำนวน 12 ออร์เดอร์ ถ้าคำนวนจริงๆ ค่าบริการของทั้งสองกรณีนี้คือ
- กรณีหนึ่งออร์เดอร์ 120k : 11,400 บาท + ภาษี 3% ทั้งหมดเป็น 15,000 บาท
- กรณี 12 ออร์เดอร์ ออร์เดอร์ละ 10k : (1,700 บาท + ภาษี 3%) x 12 = 24,000 บาท จะมีส่วนต่างมากถึง 9,000 บาท หรือคิดเป็น 7.5% ของยอดรวม 120k ได้เลย
ดังนั้น จะเป็นการดีกว่าที่จะปรับกลยุทธการตั้งราคาและเปิดออร์เดอร์ให้หนึ่งออร์เดอร์มีราคาสูง เพื่อประหยัดค่าบริการ แต่ทั้งนี้ ต้องคำนึกถึงความเป็นจริงที่ว่างานที่ราคาสูง มักจะมีขนาดใหญ่และใช้เวลานาน ซึ่งอาจจะทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินของผู้รับจ้างได้
จากตัวอย่างที่แล้ว ที่ยอดรวม 120k ลองมาเปลี่ยนเป็น ออร์เดอร์ละ 20k, 30k, 40k
- แบ่งเป็น 3 งาน งานละ 40k มีส่วนต่างที่ 3.8% => 4,560 บาท
- แบ่งเป็น 4 งาน งานละ 30k มีส่วนต่างที่ 4.2% => 5,040 บาท
- แบ่งเป็น 6 งาน งานละ 20k มีส่วนต่างที่ 5.0% => 6,000 บาท
หากมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อแลกกับสภาพคล่องทางการเงิน และการได้รีวิวงานเพิ่มขึ้นแล้ว ก็อาจจะคุ้มสำหรับผู้รับจ้างหลายๆคนก็ได้
แต่ว่าหากดำเนินการแบ่งชำระเงินตามขั้นตอน
น่าจะช่วยลดปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินได้ดีขึ้น ในขณะที่ไม่เสียค่าบริการมากเท่ากับการแบ่งงานเป็นหลายๆออร์เดอร์
Create virtual environment
virtualenv venv
Activate virtual environment
. .\venv\Scripts\activate
Install dependencies
pip install -r requirements.txt
- Retrieve products via graphql instead
- Retrive Sellers reviews to estimate number of hiring and cost
- Capture HTTP / API traffic from mobile app